หน้าแรก ข่าวสาร ภาพกิจกรรม สภาการสาธารณสุขชุมชนหารือ กมธ.การเงินฯ ผลักดัน “เงินประจำตำแหน่งนักสาธารณสุข” คาดชัดเจน ธ.ค. นี้
ภาพกิจกรรม

สภาการสาธารณสุขชุมชนหารือ กมธ.การเงินฯ ผลักดัน “เงินประจำตำแหน่งนักสาธารณสุข” คาดชัดเจน ธ.ค. นี้

สภาการสาธารณสุขชุมชนหารือ กมธ.การเงินฯ เดินหน้าผลักดัน “เงินประจำตำแหน่งนักสาธารณสุข” คาดชัดเจน ธ.ค. นี้

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568  รองศาสตราจารย์วรพจน์ พรหมสัตยพรต นายกสภาการสาธารณสุขชุมชน พร้อมด้วยคณะกรรมการสภาการสาธารณสุขชุมชน วาระที่ 3 (พ.ศ. 2567-2570) ได้เข้าประชุมกับคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงิน และตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ณ อาคารรัฐสภา

เพื่อนำเสนอข้อมูลและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจำเป็นในการกำหนดให้ “นักสาธารณสุข” ได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของผู้ปฏิบัติงานด้านการสาธารณสุข (พ.ต.ส.) โดยมีนายณัฐพงษ์ สุปริยศิลป์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย เป็นประธานการประชุม

นายพัทธพล อักโข เลขาธิการสภาการสาธารณสุขชุมชน เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมให้ข้อมูลด้วย ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

ทั้งนี้ สภาการสาธารณสุขชุมชนได้เน้นย้ำประเด็นสำคัญต่อที่ประชุม ดังนี้

1. การพิจารณากำหนดเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มพิเศษ (พ.ต.ส.) ของนักสาธารณสุข ชี้แจงถึงความสำคัญและเหตุผลในการให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่ 2. บทบาทและความสำคัญของนักสาธารณสุขและความแตกต่างจากนักวิชาการสาธารณสุข เน้นย้ำถึงความเฉพาะทางและความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน โดยนักสาธารณสุขจะต้องสำเร็จการศึกษาด้านสาธารณสุขโดยตรงและมีบทบาทหลักในงานปฏิบัติการควบคุมและป้องกันโรคในพื้นที่ รวมถึงมีองค์ความรู้ครบ 5 ด้านตามมาตรฐานวิชาชีพ ซึ่งแตกต่างจากนักวิชาการสาธารณสุขที่เน้นงานบริหารจัดการข้อมูล

3. ความท้าทายในการปฏิบัติงานในวิชาชีพนักสาธารณสุข สะท้อนถึงปัญหาและอุปสรรคที่นักสาธารณสุขต้องเผชิญในการทำงานจริง โดยเฉพาะในพื้นที่ทุรกันดาร

4. เหตุผลสนับสนุนการให้เงินประจำตำแหน่งแก่นักสาธารณสุข เสนอหลักการและเหตุผลที่ชัดเจนในการเพิ่มขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน

5. ผลลัพธ์การดำเนินงานด้านสาธารณสุขที่เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ได้รับค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงคุณูปการของนักสาธารณสุขในการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน

“นักสาธารณสุข ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพประชาชนและยกระดับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในระบบบริการปฐมภูมิ ซึ่งต้องรับผิดชอบการดูแลสุขภาพองค์รวม การให้เงิน พ.ต.ส. จึงเป็นการตอบแทนความเชี่ยวชาญและความเสี่ยงในการทำงาน พร้อมทั้งจะเป็นขวัญและกำลังใจในการพัฒนาความก้าวหน้าของงานสาธารณสุขต่อไป” นายพัทธพล อักโข กล่าวย้ำ

 

นายพัทธพล อักโข ยังแสดงความกังวลว่า แม้ข้อเสนอขอปรับหลักเกณฑ์เงินเพิ่มผู้ปฏิบัติงานจะผ่านการเห็นชอบจาก อ.ก.พ. ของกระทรวงสาธารณสุขมาตั้งแต่ปี 2565 แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสร้างความเหลื่อมล้ำกับ 7 วิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ได้รับเงิน พ.ต.ส. ไปแล้ว เขามองว่าการที่นักสาธารณสุขต้องเสียค่าขึ้นทะเบียนและค่าต่ออายุใบประกอบวิชาชีพ แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนค่าตอบแทนที่ทัดเทียม ส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจและคุณภาพชีวิตของบุคลากรที่ทำงานเสียสละเพื่อประชาชนมาโดยตลอด

ด้านนายชำนาญ มีมูล อุปนายกสภาการสาธารณสุขชุมชน เน้นย้ำว่า นักสาธารณสุขกว่า 30,000 คนที่มีใบประกอบวิชาชีพนั้นมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และการดูแลผู้ป่วยเบื้องต้นในระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) อย่างไรก็ตาม หลังจากการถ่ายโอน รพ.สต. ไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หลายแห่งยังขาดแคลนแพทย์ประจำ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการกำกับดูแลวิชาชีพและความปลอดภัยในการให้บริการ ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการกำหนดระบบกำกับวิชาชีพที่ชัดเจน

ขณะที่นายไพฑูรย์ จิตเนาวรัตน์ กรรมการสภาการสาธารณสุขชุมชน กล่าวเสริมว่า งานสาธารณสุขระดับปฐมภูมิ ซึ่งนักสาธารณสุขทำงานร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อย่างใกล้ชิดถือเป็นกลไกสำคัญในการดูแลประชาชน โดยยกตัวอย่างในพื้นที่ทุรกันดารอย่างจังหวัดตาก ที่นักสาธารณสุขต้องเผชิญความยากลำบากในการเดินทาง แต่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ เพื่อป้องกันและควบคุมโรคระบาด แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการสนับสนุนให้นักสาธารณสุขสามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มศักยภาพ

นางสาวนัทยากรณ์ เดชา ผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กระทรวงฯ ได้ดำเนินการขอเพิ่มเงินดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2567 และส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้สำนักงาน ก.พ. ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของ ก.พ. ซึ่งยังขาดข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับอัตรากำลังและความขาดแคลนของนักสาธารณสุข

ด้านผู้แทนสำนักงาน ก.พ. ชี้แจงถึงขั้นตอนการพิจารณาที่ต้องแก้ไขกฎหมาย 2 ฉบับ และคาดการณ์ว่าจะได้รับการพิจารณาภายในปีงบประมาณ 2568 โดยเงินประจำตำแหน่งสำหรับนักสาธารณสุขระดับชำนาญการและชำนาญการพิเศษ จะเพิ่มค่าใช้จ่ายประมาณ 190 ล้านบาทต่อปี

ในส่วนของท้องถิ่น ผู้แทนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า การบริหารงานบุคคลของท้องถิ่นแตกต่างจาก ก.พ. โดยอยู่ภายใต้ พ.ร.บ. การบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ซึ่งคณะกรรมการการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) เป็นผู้กำหนดมาตรฐานกลาง โดยปัจจุบันมีนักสาธารณสุขใน อปท. 181 ราย และกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอ ก.ถ. พิจารณาเรื่องเงิน พ.ต.ส.

ความเห็นจากทุกฝ่ายล้วนสะท้อนถึงความสำคัญของบทบาทนักสาธารณสุขที่เป็นรากฐานของระบบสุขภาพชุมชน อย่างไรก็ตาม ความล่าช้าในการพิจารณาเรื่องค่าตอบแทนพิเศษที่เหมาะสม ยังคงเป็นความท้าทายที่ภาครัฐต้องเร่งดำเนินการ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจและยกระดับคุณภาพชีวิตของบุคลากรผู้เสียสละเหล่านี้ ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มศักยภาพ และสร้างความมั่นคงให้กับระบบสาธารณสุขของประเทศในระยะยาว

นายพัทธพล อักโข เลขาธิการสภาการสาธารณสุขชุมชน เปิดเผยถึงผลการหารือกับสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับไทม์ไลน์การกำหนดให้ตำแหน่ง “นักสาธารณสุข” ได้รับเงินประจำตำแหน่งไว้ดังนี้

  1. ภายในเดือนสิงหาคม 2568 : สำนักงาน ก.พ. จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาความเหมาะสมของข้อเสนอในด้านหลักเกณฑ์ กฎหมาย และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมจัดทำความเห็นประกอบ
  2. ภายในเดือนกันยายน 2568 : เสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ชุดใหญ่) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการ
  3. ภายในเดือนธันวาคม 2568 : เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาและให้ความเห็นชอบ
  4. หลังจากนั้น : แจ้งผลและดำเนินการตามมติ เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

“การดำเนินการขับเคลื่อนและผลักดันของคณะกรรมการสภาการสาธารณสุขชุมชน วาระที่ 3 (พ.ศ. 2567-2570) ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตและขวัญกำลังใจของนักสาธารณสุข ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพของประเทศ” นายพัทธพล กล่าวทิ้งท้าย

แชร์